- FacebookFacebook
- XTwitter

1721955
ล่วงเข้าปีที่ 46 แล้วสำหรับเฟรนไชส์สุดฮิตรุ่นคุณน้า Alien ที่มีมาตั้งแต่ปี 1979 จนกลายมาเป็นซีรีส์ 8 ตอนจบที่กำลังถูกกล่าวขวัญอยู่ในตอนนี้ว่ามันช่างต่อยอดเติมเต็มจักรวาลสัตว์สยองนอกโลกในตำนานได้อย่างงดงามลงตัว Alien: Earth ที่คราวนี้นอกจากซีโนมอฟแล้ว ยังมีสัตว์สยองพันธุ์ใหม่ ๆ มากมายลงมาบนโลก
หนำซ้ำพื้นที่ต้นเรื่องยังถ่ายทำในประเทศไทย และบันดาลกรุงเทพให้กลายเป็นโลกอนาคตนามว่า “นิวสยาม” (หลายคอมเม้นต์คนไทยเอ่ยว่า “ถ้าใช้ชื่อนีโอ-สยามน่าจะดูคูลกว่านี้” แต่ส่วนตัวเราเห็นว่า มันช่างเหมาะกันดี เพราะสยามที่ถูกดีไซน์ในจักรวาลนี้ มันไม่ได้ดูนีโอ แต่มันดูเวรี่นิวสยามเอามาก ๆ เมื่อซีรีส์ภาคนี้เล่าถึงโลกอนาคตในปี 2120 หรือในอีก 95 ปีข้างหน้า แต่สยามในเวลานั้นยังคงมีเรือนไม้ชายคลอง และผู้คนยังคงสัญจรกันทางเรือ)

ซีรีส์นี้ยังมีฉากหลักอีกส่วนที่ถ่ายทำบริเวณอ่าวนาง จังหวัดกระบี่ อันเป็นส่วนที่ดำเนินอยู่เกือบทั้งเรื่องของซีรีส์นี้ นั่นคือเกาะที่ในเรื่องเรียกกันว่า “เนเวอร์แลนด์” มันคือชื่อเดียวกันกับเมืองในบทละคร Peter Pan; or, the Boy Who Wouldn’t Grow Up ของ เจ เอ็มม แบร์รี่ เมื่อปี 1904 (ก่อนที่ต่อมาจะถูกดัดแปลงเป็นนิยายในปี 1911 แล้วกลายมาเป็นการ์ตูนดิสนีย์ครั้งแรกเมื่อปี 1953)

ก่อนที่เราจะมาเล่าเนื้อหาหลักของซีรีส์ภาคล่าสุดนี้ เราคงต้องเริ่มจากไทม์ไลน์โครงเรื่องหลักของเฟรนไชส์นี้ ซึ่งอันที่จริงมันแตกแขนงงอกเป็นเรื่องราวมหากาพย์ยุ่บยั่บมากมาย ไม่ว่าจะแอนิเมชั่น นิยาย เกมส์ หนังสั้น เว็บซีรีส์ ละครเวที ฯลฯ แต่ถ้านับเฉพาะโครงเรื่องหลักอย่างเป็นทางการแล้ว เหตุการณ์ภาค Earth (เรื่องเกิดในปี 2120 ออกฉายปี 2025) เกิดขึ้นหลังจากภาคภาพยนตร์ Covenant (เรื่องเกิดในปี 2104 ออกฉายในปี 2017) ราว 16 ปี และเกิดก่อนภาคออริจินัล Alien (เรื่องเกิดในปี 2122 ออกฉายในปี1979) สองปี

ที่นี้ถ้าจะให้เล่าย่อมา ๆ สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับตัวประหลาดในภาคนี้ แม้ในซีรีส์จะเล่าถึงยาน USCSS Maginot ว่ากลับจากการรวบรวมสัตว์ประหลาดในอวกาศลึก แต่สิ่งที่เราไม่รู้คือ ยานไปจับพวกมันมาจากที่ใดบ้าง ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าสัตว์เหล่านั้นอาจมาจากห้องแลบทดลองของหุ่นแดนดรอยด์เดวิด ที่ผสมปนเปไม่รู้ว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง แต่ที่แน่ ๆ พวกมันดุร้ายทุกตัวอันเป็นผลจากการกลายพันธุ์ด้วยการใช้ “Black Goo” หรือ สารชีวกลายพันธุ์ A0-3959X.91-1 อันเป็นสารเหนียวคล้ายยางไม้ หรือน้ำมันดิน สีดำลึกลับซึ่งสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดการกลายพันธุ์ สร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ หรือแม้กระทั่งใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างและทำลายดาวเคราะห์ ด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างDNA
วกกลับมาที่เนื้อเรื่องหลักของซีรีส์นี้ที่บัดนี้เหลืออีกเพียง 2 ตอนเท่านั้น และเป็นไปได้ว่าลาสบอสของแท้จะโผล่มาในตอนสุดท้ายในชื่อที่มีความหมายว่า “สัตว์ประหลาดตัวจริง” ที่กำกวมว่าจะหมายถึงสัตว์ประหลาดตัวสุดท้ายที่ยังไม่มีใครเคยเห็น หรือจะหมายถึงตัวละครตัวใดตัวหนึ่งที่เผยด้านสุดดาร์กออกมาให้เห็น หรือจะเป็นทั้งสองอย่างคือสิ่งที่ผู้ชมยังคงต้องลุ้นกัน
เหตุการณ์ใน Alien: Earth เปิดเรื่องในปี 2120 หรือสองปีก่อนเหตุการณ์ในภาคต้นฉบับ Alien (1979) ซึ่งโลกในปี 2120 ได้แบ่งเขตปกครองภายใต้ 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ ได้แก่ Prodigy, Weyland-Yutani, Lynch. Dynamic และ Threshold แล้วถ้าจะให้เราเล่าง่าย ๆ ไม่สับสน คือยาน USCSS Maginot ของบริษัท Weyland-Yutani ซึ่งเป็นยานวิจัยอวกาศลึกในปฏิบัติการกว้านเก็บตัวอย่างสัตว์ประหลาดจากสถานที่ต่าง ๆ แต่สุดท้ายตัวประหลาดเหล่านั้นหลุดออกมาคร่าชีวิตคนบนยานจนเหี้ยน จึงมีการตัดสินใจพุ่งโหม่งโลก แต่ยานดังกล่าวดันไปตกลงในเขตปกครองของอีกบริษัทคือ Prodigy ในบริเวณเมืองไทยที่ในเวลานั้นจะถูกเรียกว่า “นิวสยาม”
ในช่วงเวลาเดียวกันบนเกาะเนเวอร์แลนด์ของ Prodigy ได้ทำการทดลองถ่ายโอนจิตสำนึกของ มาร์ซี เด็กที่ป่วยหนักลงไปยังร่างสังเคราะห์ที่เรียกว่า “synthetic” แล้วตั้งชื่อเธอใหม่ว่า “เวนดี้” แต่ถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ ขึ้นไปอีก นี่คือ Alien ในไทม์ไลน์หลักเรื่องแรกที่เรื่องราวไม่ได้อยู่นอกโลก (เอิ่ม ถ้าไม่นับภาคครอสโอเวอร์อย่างพวก Alien vs. Predator, 2004 กับ 2007 อ่ะนะ) ไม่ได้สู้กันบนยานอวกาศ หรือบรรยากาศต่างดาว แต่เป็นโลกในอนาคต
ขณะที่ยานไปเอาสัตว์ลึกลับที่คนดูยังไม่รู้ว่ามันจะมีความโหดเหี้ยมและหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ความสามารถของมนุษย์ไม่มีทางเอาชนะมันได้ ทว่า เวนดี้ ที่ร่างกายเป็น synthetic แถมเธอยังเป็นเด็กที่พิเศษต่างไปจากเด็กทั่วไป ย้ายมาอยู่ในร่างทรงพลัง ทำให้เรื่องในเวอร์ชั่นนี้อัพเลเวลไปหลายขุมมาก เพราะเท่ากับสิ่งมีชีวิตสองสายพันธุ์จะต่อสู้กันอย่างดุเดือด และแทบจะมีพลังพอ ๆ กัน ตายยากเหมือน ๆ กัน ภายใต้โครงสร้างทางการเมืองโลกที่แบ่งผลประโยชน์กัน
ตัวซีรีส์เปรียบเทียบนิทานปีเตอร์แพนกับเหตุการณ์บนเกาะเนเวอร์แลนด์ของฝ่าย Prodigy ไปพร้อม ๆ กับการเปรียบเทียบพวก synthetic สายพันธุ์ล่าสุดว่ากำลังอยู่ในช่วงทดลอง เช่นเดียวกับการที่มนุษย์ก็กำลังอยู่ในช่วงทดลองสายพันธุ์ประหลาด ๆ จากต่างดาวมากมาย
ซีรีส์นี้อำนวยการสร้างโดย ริดลีย์ สก็อต ต้นกำเนิด Alien (1979) ภาคดั้งเดิม และต่อยอดมากำกับภาค Prometheus (2012) กับ Alien: Covenant (2017) กำกับโดย โนอาห์ ฮาวลีย์ ผู้มีผลงานซีรีส์เด่น ๆ อาทิ Fargo (2014–2024), Legion (2017–2019) และมีส่วนร่วมในซีรีส์ Bones (2005–2008), The Unusuals (2009) และMy Generation (2010) อีกด้วย โดยในภาค Earth นี้ ฮาวลีย์รับหน้าที่เขียนบททั้งหมด 8 ตอน และกำกับ 2 ตอน คือตอนที่ 1 และตอนที่ 5 อันเป็นตอนที่พลิกสถานการณ์ทั้งหมดในเรื่อง

บนเว็บไซต์รวบรวมบทวิจารณ์ Rotten Tomatoes นักวิจารณ์ 151 คนให้คะแนนเฉลี่ยรวมที่ 95% เป็นไปในเชิงบวก โดยมีความเห็นพ้องต้องกันว่า ” Alien: Earth ของ โนอาห์ ฮาวลีย์ โดดเด่นและน่ากลัวอย่างถึงที่สุด นำตำนานซีโนมอฟ เข้าสู่สื่อโทรทัศน์โดยยังคงความยิ่งใหญ่แบบฉบับภาพยนตร์เอาไว้ได้ ในขณะเดียวกันก็ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวเอาไว้ด้วย” ส่วนเว็บ Metacritic ให้ 85 คะแนนจาก 100 จากนักวิจารณ์ 41 คน ซึ่งบ่งชี้ว่า “ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลก”
เจมส์ ดายเอร์ จากนิตยสารภาพยนตร์ Empireให้คะแนนซีซั่นแรกนี้ 5 ดาวเต็ม โดยยกย่องว่า “ไม่ใช่เพียงการสำรวจอวกาศแต่ยังสำรวจ ธรรมชาติของจิตสำนึก ความตาย และ มนุษยชาติ” และสรุปว่า “ซีรีส์ของ ฮาวลีย์ เป็นภาคต้นที่หาได้ยากซึ่งทำหน้าที่เสริมเนื้อหาต้นฉบับและเติมสีสันให้กับแฟรนไชส์ที่เคยน่าเบื่อหน่ายให้กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง” ไบรอัน ทัลเลริโค เขียนบนเว็บไซต์ RogerEbert.com ว่า “ฮาวลีย์นำเสนอซีซั่นแรก 8 ตอนที่ผสมผสานความลึกซึ้งทางปรัชญาที่แฟนๆ ของ Prometheus ชื่นชมเข้ากับฉากแอ็กชั่นที่เข้มข้นและภาพที่น่าขนลุกของ Aliens ฉบับ เจมส์ คาเมรอน เอาไว้ได้”
แองจี้ ฮาน จาก The Hollywood Reporter บรรยายไว้ว่า “เป็นภาพยนตร์มหากาพย์ที่เข้มข้น กว้างใหญ่ บางครั้งก็ดูยากลำบาก แต่ในที่สุดซีรีส์เวอร์ชั่นนี้ก็กลับมาตื่นเต้นเร้าใจเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ ความเย่อหยิ่ง และแน่นอน ความสุขจากการได้ดูผู้คนถูกสัตว์ประหลาดในอวกาศข่มเหงอย่างสุดขีด” โดยกล่าวถึงการออกแบบงานสร้างและ “สัตว์ประหลาดตัวใหม่ที่มีวิธีการสังหารอันน่าสะพรึงกลัวและดูน่าอร่อยในแบบฉบับที่ไม่เหมือนใคร”
ขณะที่ ซิกอร์นีย์ วีเวอร์ ผู้เคยรับบทเป็นเอลเลน ริปลีย์ นางเอกสุดอึดจากสามภาคแรกในภาพยนตร์ต้นฉบับ ได้กล่าวชื่นชมซีรีส์ภาคนี้ว่า “ซีรีส์นี้ขยายขอบเขตของแฟรนไชส์ และลึกซึ้งกว่า หนังสัตว์ประหลาดทั่วไปมาก ๆ”
ต้นกำเนิดดั้งเดิม
ย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่ม แดน โอแบนนอน สมัยยังเป็นนักเรียนหนังเขาทำโปรเจ็กต์จบชื่อว่า Dark Star (1974) ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1970 ด้วยทุนสร้างเพียงหกหมื่นเหรียญและกำกับโดยเพื่อนนักเรียนหนังที่ต่อมาจะกลายเป็นผู้กำกับชื่อดัง จอห์น คาร์เพนเตอร์ ก่อนจะขยายกลายเป็นหนังยาวและเข้าฉายโรงในปี 1974 อันเป็นไซ-ไฟอวกาศคอมิดี้ โอแบนนอนจึงต่อยอดมาเป็นหนังสยองขวัญ ระหว่างนั้นเพื่อนสมัยเรียนอีกคน โรนัลด์ ชูเซตต์ ได้ติดต่อให้เขาช่วยมาเขียนโปรเจ็กต์หนังอีกเรื่อง ที่ต่อมาในอนาคตมันจะกลายเป็นหนังฮิตเรื่อง Total Recall (1990)
ระหว่างนั้นทั้งคู่ได้ร่วมกันเขียนโปรเจ็กต์สัตว์ประหลาดอวกาศนี้ในชื่อตอนนั้นว่า Star Beast ซึ่งสุดท้ายบทหนังนี้ไปลงเอยเมื่อค่ายฟ็อกซ์ซื้อบทไปและคาดหวังจะผลิตเป็นหนังทุนต่ำ ในนาม Alien แต่ไปไปมามาหลังจาก Star Wars ประสบความสำเร็จอย่างมาก เลยพลอยทำให้ฟ็อกซ์ตัดสินใจลงทุน Alien เพิ่มจากเดิมด้วยความคาดหวังว่าหนังแนวนี้กำลังมาแรง
แต่แรกยานอวกาศนอสโตรโมในภาคนี้ลูกเรือทั้งหมดจะเป็นผู้ชาย ขณะที่ช่วยปลายทศวรรษ 70s สังคมโลกกำลังพุ่งประเด็นสนใจไปยังภาพลักษณ์หญิงแกร่ง ประธานฟ็อกซ์ขณะนั้นจึงผุดไอเดียว่าหาก Alien จะใช้ผู้หญิงเป็นตัวนำก็น่าจะเป็นแนวทางใหม่ ๆ ให้กับค่าย ทำให้ผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ มองว่าถ้าให้ตัวเอกหญิงปะทะกับสิ่งมีชีวิตสุดแกร่งจากต่างดาว น่าจะทำให้เรื่องน่าดูยิ่งขึ้น และสร้างความรู้สึก เหนือความคาดหมายให้กับผู้ชมได้ เพราะเวลานั้นแทบไม่เคยมีตัวละครหญิงที่เคยมีชีวิตรอดจากหนังสยองไซ-ไฟในหนังระดับแมสเลย ตัวละครริปลีย์ในภาคกำเนิดจึงกลายเป็นหญิง ส่วนนักแสดงชายคนเดิม ทอม สเคอร์ริตต์ ถูกวางไปรับบทกัปตันดัลลัสแทน
Alien 01 The Master Narrative
เฟรนไชส์ Alien ประสบความสำเร็จแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ คือ บางภาคก็ดังมาก บางภาคก็ดิ่งเหว พยายามทำทุกทางไปจนครอสโอเวอร์ข้ามจักรวาลกับ Predator และตั้งแต่แรก ริดลีย์ สก็อตต์ ก็ไม่เคยคิดจะต้องการให้หนังเรื่องนี้มีภาคต่อเลย กระทั่งผ่านไปนานถึง 33 ปีกว่าที่สก็อตต์จะกลับมาปรากฏเป็นชื่อผู้กำกับเฟรนไชส์นี้อีกครั้งในภาค Prometheus (2012)
สิ่งที่ทำให้สก็อตต์หันมาสนใจกำกับเรื่องนี้ก็เพราะไอเดียใหม่ ๆ จาก จอน สเปย์ทส์ (ผู้ร่วมเขียนบท Dune ทั้ง 3 ภาค 2021, 2024 และ 2026) ที่เข้ามาร่วมโปรเจ็กต์ตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งสก็อตต์ให้ความสนใจต่อประเด็นที่สเปย์ทส์นำเสนออย่างมาก (ซึ่งต่อยอดขยายมาจากไอเดียตั้งต้นของสก็อตต์เอง) ตัวเรื่องไม่ใช่ภาคต่อ แต่ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น ด้วยการตั้งคำถามว่า “มนุษย์คือใคร ใครสร้างมนุษย์ แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทอดทิ้งมนุษย์”
ไปสู่การพัฒนาเทพปกรณัมในจักรวาลการสำรวจการสร้างมนุษยชาติ โดยนอกจากจะผสานไอเดียจากไบเบิลของยิวกับคริสต์ ยังลากรวมไปถึงตำนานกรีก-โรมันและแอซเท็ก และไอเดียหลักเลยคือ Paradise Lost บทกวีเก่าแก่ที่ถูกเขียนโดยกวีชาวอังกฤษ จอห์น มิลตัน ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1667 ด้วยไอเดียที่เชื่อว่า มนุษยชาติเป็นลูกหลานของฑูตสวรรค์ ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้สร้างฑูตสวรรค์อีกที โดยสก็อตต์ได้เปรียบเทียบตัวละครกลุ่มที่เรียกว่า เอ็นจิเนียร์ กับฑูตสวรรค์ ดังนั้นความจริงทั้งหมดที่หลายคนกำลังเข้าใจว่าเรื่องราวที่ถูกเล่าเรื่องการเดินทางเพื่อไปหาผู้สร้างอย่างเอ็นจิเนียร์นั้น แท้จริงพวกเขาเป็นเพียงเทพยดา แต่ยังไม่ใช่พระเจ้าผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่ง
ภายหลังบทร่างแรกได้มือเขียนบทอีกคน เดมอน ลินเดลอฟ ผู้สร้างและเขียนบทซีรีส์ Lost (2004-2010) เพื่อมาช่วยกันเขียนขอบเขตและแนวสันหลังของจักรวาลภาคกำเนิดนี้ซึ่งเวลานั้นถูกใช้ชื่อโปรเจ็กต์ว่า “Paradise” และสันหลังอันจะกลายเป็นไบเบิลนำทางของการสร้างส่วนต่อขยายของจักรวาล Alien ทั้งหมดนับจากนี้ ถูกเรียกว่า “Alien 01 The Master Narrative”
“มันครอบคลุมช่วงเวลาอันกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกในรูปแบบที่มีนัยสำคัญใด ๆ เลย วิธีที่เรากำลังสำรวจอนาคตคือการอยู่ห่างจากโลก และ ตั้งคำถามว่าตอนนี้ผู้คนเป็นอย่างไร พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง และพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ การสำรวจอวกาศในอนาคตจะพัฒนาไปสู่แนวคิดที่ว่า ไม่ใช่แค่การออกไปค้นหาดาวเคราะห์เพื่อสร้างอาณานิคม แต่มันยังมีแนวคิดแฝงอยู่ว่า ยิ่งเราออกไปไกลเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ตัวละครในหนังเรื่องนี้ต่างหมกมุ่นอยู่กับแนวคิดที่ว่า ต้นกำเนิดของเราคืออะไร” —เดมอน ลินเดลอฟ
Weyland-Yutani บริษัทสมมติในโลกอนาคต ผู้ผลิต synthetic บริษัทนี้มีโผล่มาในจักรวาลเอเลี่ยนครั้งแรกในภาค Alien vs. Predator (2004) และใน Aliens vs. Predator: Requiem (2007) ก่อนจะมามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินเรื่องอยากมากในภาค Prometheus (2012) แล้วในปีนี้นอกจากบริษัทนี้จะปรากฎซีรีส์ภาค Earth แล้ว ยังจะไปโผล่ในหนังอีกเรื่องปลายปีนี้นั่นก็คือ Predator: Badlands ที่กำกับโดย แดน ทราชเทนเบิร์ก จาก 10 Cloverfield Lane (2016) และหนังภาคแยกของจักรวาลพรีเดเตอร์ ใน Prey (2022)
Related posts:
- Finding Vivian Maier: คลี่ปริศนาภาพถ่ายวิเวียน ไมเออร์
- “ชีวิตใต้เผด็จการไม่ยาก…ถ้าไม่คิดมาก” Dangerous Acts Starring The Unstable Elements Of Belarus
- Citizenfour ศัตรูของชาติ เพื่อความมั่นคงของใคร?
- ชาวบ้านธรรมดากลางห่ากระสุน Aleppo: Notes from the Dark
- Singularity is Near โลกใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว!
- A Matter of Taste: Serving Up Paul Liebrandt เชฟอัจฉริยะคว้าดาว



